วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมืองโบราณดูบรอฟนิค


เมืองโบราณดูบรอฟนิค (Dubrovnik) เป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศโครเอเชีย มีพรมแดนติดต่อกับประเทศบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีน่า เมืองโบราณแห่งนี้เป็นหนึ่งในเมืองเก่าที่สวยที่สุดในยุโรป มีฉายาว่าเป็นไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติค ซึ่งก็นับว่าเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองโดยเฉพาะเรื่องของการวางผังเมืองที่สวยงาม

ในอดีตนั้น "ดูบรอฟนิค" เคยเป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เป็นต้นมา มีอำนาจในการควบคุมการเดินเรือในทะเลเอเดรียติค และ เมดิเตอร์เรเนียน เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางธุรกิจเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้เอง "ดูบรอฟนิค" จึงเป็นเมืองที่ร่ำรวย มีเงินทองเหลือเฟือ ในการตกแต่งพระราชวัง โบสถ์ วิหาร จัตุรัส น้ำพุ และ บ้านเรือนต่างๆ อย่างงดงามตามยุคสมัย เป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมทั้งกอธิค เรเนซองค์ และ บาโรคเต็มไปทั้งเมืองตัวซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน จนได้รับการจดทะเบียนให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกในปี ค.ศ. 1979  
 เมืองโบราณดูบรอฟนิค เคยเป็นเป้าหมายการถูกโจมตีจากกองทหารยูโกสลาฟ บ้านเรือนกว่าครึ่ง อนุสาวรีย์ต่างๆ ได้รับความเสียหาย และทรุดโทรม

          ซึ่งหากใครชื่นชอบการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แล้วก็อยากพักผ่อนนอนทะเลด้วย ดูบรอฟนิค ดูเหมือนจะเป็นเมืองที่คุณควรจะไปเยือนที่สุดแล้วล่ะ เพราะคุณจะได้สัมผัสกับความสวยงามมั่งคั่งของเมือง และความสวยงามของท้องทะเลไปพร้อม ๆ กัน




















อ้างอิงจาก 


วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แบบฝึกหัดบทที่ 4

1.  การปกครองในข้อใดทำให้เกิดจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine  Empire)

ก.  การปกครองแบบ       Autocrat
ข.  การปกครองระบอบ   Monarchy
ค.  การปกครองแบบ      Tretarchy
ง.  การปกครองแบบ       Anarchy

2.  หลังจากเกิดจักรวรรดิไบแซนไทน์  ข้อใดเป็นรูปแบบการปกครองของจักรวรรดิดังกล่าว


ก.  การปกครองแบบ       Autocrat
ข.  การปกครองระบอบ   Monarchy
ค.  การปกครองแบบ      Tretarchy
ง.  การปกครองแบบ       Anarchy

3.  "โรมใหม่"  หมายถึง ข้อใด

ก.  อิตาลี
ข.  อเลกซานเดรีย
ค.  คอนสแตนติโนเปิล
ง.  เซนต์ปีเตอร์เบอร์ก

4.  ข้อใด มิใช่ พื้นที่ของจักรวรรดิโรมันตะวันออกในคริสต์ศตวรรษที่ 7

ก.  ยุโรปตะวันออก
ข.  สองฝั่งของทะเลอีเจียน
ค.  คาบสมุทรไอบีเรีย
ง.  เอชียไมเนอร์

5.  ข้อใดเป็นการปกครองที่จักรพรรดิทรงมีอำนาจสูงสุดทั้งทางจักรวรรดิและทางศาสนา


ก.  การปกครองแบบ       Autocrat
ข.  การปกครองระบอบ   Monarchy
ค.  การปกครองแบบ      Tretarchy
ง.  การปกครองแบบ       Anarchy

6. จักรวรรดิโรมันตะวันออกใช้ภาษาอะไรในการสื่อสารอย่างเป็นทางการ

ก.  ภาษากรีก
ข.  ภาษาละติน
ค.  ภาษาสลาฟ
ง.  ภาษารัสเซีย

7.  คริสต์ศาสนาแบบ  Christian Hellenism  มีศูนย์กลางที่ใด

ก.  กรุงโรม
ข.  กรุงปารีส
ค.  กรุงวาติกัน
ง.  กรุงคอนสแตนติโนเปิล

8.  ข้อใด ไม่ ถูกต้องเกี่ยวกับการแพร่หลายของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์

ก.  กรีก
ข.  รัสเซีย
ค.  ยุโรปตะวันออก
ง.  ยุโรปตะวันตก

9.  ข้อใด มิใช่ เมืองสำคัญทางศาสนาคริสต์ที่จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงจัดไว้เมื่อ ค.ศ. 325

ก.  เอเธนส์
ข.  โรม
ค.  อเล็กซานเดรีย
ง.  คอนสแตนติโนเปิล

10.  ข้อใดไม่ถูกต้อง

ก.  Code        คือ  กฏหมายที่ใช้มาแต่โบราณ
ข.  Digest       คือ  ประมวลความเห็นทางกฏหมาย
ค.  Institutes   คือ  ตำรากฏหมาย
ง.  Novels      คือ  นิยายเรื่องยาว

เฉลย



แบบฝึกหัดบทที่ 3

1.  มหากาพย์อีเลียดและโอเดสซีเป็นของอารยธรรมกรีกยุดใด

ก.  ยุคมืด                     ข.  ยุคคลาสสิค
ค.  ยุคทอง                   ง.  ยุคเฮเลนิสติก

2.  วิหารพาร์เธนอน (Parthenon) สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานรูปเคารพของเทพองค์ใด

ก.  เฮรา                        ข.  อะเธนา
ค.  อะพอลโล               ง.  อะโฟรไดตี

3.  หัวเสาทำเป็นรูปในไม้ตรงกับข้อใด

ก.  หัวเสาดอริก                                ข.  หัวเสาไอโอนิก
ค.  หัวเสาแบบโครินเธียน                 ง.  หัวเสาอาเคียน

4.  ความนิยมในการสร้างประติมากรรมหญิงเปลือยแทนรูปชายเปลือยเกิดขึ้นยุคใด

ก.  ยุคแรก                                         ข.  ยุคมืด
ค.  ยุคคลาสสิค                                 ง.  ยุคเฮเลนิสติก

5.  จิตรกรรมกรีกสมัยแรกมักทำ  Back ground เป็นสีอะไร

ก.  สีดำ                                     ข.  สีแดง
ค.  สีขาว                                   ง.  สีเหลือง

6.  ลักษณะของงานจิตรกรรมที่นิยมวาดสีพื้นตัดกับภาพในฉาก  แล้วพัฒนาเป็นรูปเครือเถา และรูปเล่าเรื่องนิทานปรัมปรา (Methology)  และมหากาพย์ของโฮเมอร์อย่างกลมกลืนงองามเกิดขึ้นในยุคใด

ก.  ยุคแรก                                 ข.  ยุคมืด
ค.  ยุคคลาสสิค                         ง.   ยุคเฮเลนิสติค

7.  การแสดงละครแพร่หลายมากในยุคใด

ก.  ยุคแรก                                ข.  ยุคมืด
ค.  ยุคคลาสสิค                        ง.   ยุคเฮเลนิสติค

8.  ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงละครแบบโศกนาฎกรรม (Tragedy)  และสุขนาฎกรรม (Comedy)

ก.  ตัวละครชายทั้งหมด              ข.  ตัวละครเป็นหญิงทั้งหมด
ค.  ตัวละครเป็นชาย - หญิง         ง.   ตัวละครเป็นเด็กทั้งหมด

9.  นักปรัชญากรีกที่ก่อตั้งสำนักอะคาเดมีขึ้นที่เอเธนส์คือใคร

ก.  โสเครตีส                               ข.  เพลโต
ค.  อริสโตเติล                            ง.   เฮโรโดตัส

10.  นักปรัชญาที่เชื่อว่า ปัญญานำมาซึ่งความรู้ และความรู้นำมาซึ่งความสุขสบาย  ถ้าปราศจากความสุขสบายมนุษย์จะไม่เกิดปัญญา  คือใคร

ก.  โสเครตีส                              ข.  เพลโต
ค.  อริสโตเติล                           ง.  เฮโรโดตัส

11.  เทพองค์ใด มิใช่ พี่น้องของมหาเทพซูส

ก.  ดิมิเทอร์                              ข.  ฮาเดส
ค.  อะธีนา                                ง.  โพไซดอน

12.  อาวุธของมหาเทพซูส คือ อะไร

ก.  ดาบ                                    ข.  ธนู
ค.  สายฟ้า                               ง.  สามง่าม

13.  เทพที่มักประกฎการในลักษณะสวมหมวกขอบกว้างสวมรองเท้ามีปีกถือคฑาที่มีงูพันคือใคร

ก.  อาร์เทมีส                           ข.  อาเรส
ค.  เฮอร์มีส                             ง.  อะพอลโล

14.  เทพีแห่งการครองเรือนและเทพแห่งครอบครัว คือ ใคร

ก.  เฮร่า                                  ข.  อะธีน่า
ค.  เฮสเทีย                             ง.  อะโพรไดตี

15.  เทพีแห่งสงคราม  ความเฉลียวฉลาด และศิลปศาสตร์


ก.  เฮร่า                                  ข.  อะธีน่า
ค.  เฮสเทีย                             ง.  อะโพรไดตี

16.  เป็นชนวนเหตุของสงครามกรุงทรอยคือใคร

ก.  ปารีส                                 ข.  เฮเลน
ค.  เฮกเตอร์                           ง.  อะโพรไดตี

เฉลย

แบบฝึกหัดบทที่ 2

1.  พื้นฐานดั้งเดิมก่อนเกิดอารยธรรมตะวันตกก่อตัวขึ้นเมื่อใด

ก.  ประมาณ 4,000 BC.              ข.  ประมาณ 3,500 BC.
ค.  ประมาณ 5,000 BC.              ง.  ประมาณ  6,000 BC.

2.  ภูมิภาคแถบเอเชียไมเนอร์เป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรมโบราณในข้อใด

ก.  เมโสโปเตเมีย                        ข.  อียิปต์
ค.  กรีก                                        ง.  โรมัน

3.  แม่น้ำไทกริส - ยูเฟรติสพัดดินตะกอนมาท่วมฝั่งภาคใต้ของดินแดนเมโสโปเตเมียในฤดูใบไม้ผลิระหว่างเดือน.........ทำให้ภาคใต้เป็นดินแดนที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเลอุดมด้วยปุ๋ยธรรมชาติเหมาะต่อการเพาะปลูกพืชพรรณธัญญาหารต่าง ๆ

ก.  ธันวาคม - กุมภาพันธ์                    ข.  มีนาคม  - พฤษภาคม
ค.  มิถุนายน  - สิงหาคม                     ง.  สิงหาคม - พฤศจิกายน

4.  พื่นที่ภาคเหนือของดินแดนเมโสโปเตเมียมีฝนตกชุกเมื่่อใด

ก.  ฤดูร้อน                             ข.  ฤดูใบไม้ร่วง
ค.  ฤดูหนาว                           ง.  ฤดูใบไม้ผลิ

5.  ข้อใดเป็นชนชาติเก่าแก่ที่ริเริ่มสร้างสรรค์อารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้นมา

ก.  ชาวสุเมอเรียน                  ข.  ชาวอัคคาเดียน
ค.  ชาวอะเมอไรต์                  ง.  ชาวอัสเรียน

6.  ข้อใดเป็นปัจจัยที่ทำให้ชาวเมโสโปเตเมียมองโลกในแง่ร้ายและไม่เห็นคุณค่าของชีวิต

ก.  สภาพภูมิกากาศแบบกึ่งทะเลทรายแปรปวน          
ข.  พายุฝนรุนแรงทำฝห้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน
ค.  เห็นตนเองเป็นทาสที่เกิดมาเพื่อรับใช้พระเจ้า      
ง.  หิมะจากเทือกเขาอะเมเนียนละลายลงมาซ้ำเติม

7.  ชาวสุเมเรียนไม่นิยมสร้างพระราชวังขนาดใหญ่ แต่นิยมสร้างซิกเกอแรท (Ziggurats) ศาสนสถานขนาดใหญ่กลางเมืองเป็นที่ประทับของเทะเจ้า ลักษณะคล้ายภูเขาห้อมล้อมด้วยกำแพงเมืองและบ้านเรือนประชาชน  สร้างจากวัสดุประเภทใด

ก.  อิฐตากแห้ง               ข.  หินทราย
ค.  หินอ่อน                     ง.  อิฐเผาอุณหภูมิสูง

8.  ข้อใดเป็นการปกครองในระยะแรก ของอาณาจักรสุเมอเรีย

ก.  กษัตริย์                       ข.  นักบวช
ค.  สภาผู้เฒ่า                   ง.  สภาของผู้ชายที่บรรลุนิติภาวะ

9.  ข้อใดเป็นอักษรที่เกิดจากการใช้ไม้เขียนลงบนแผ่นดินเหนียวแล้วผึ่ง  หรืออบให้แห้ง

ก.  คูนิฟอร์ม               ข.  เฮียโรกลีฟิก
ค.  ฟินิเชียน                ง.  อัลฟาเบธ

10.  ข้อใดเป็นชื่่อของผู้ก่อตั้งอาณาจักรบาบิโลเนีย

ก.  ฮัมมูราบี                   ข.  ซาร์กอน
ค.  กูเดีย                         ง.  อัสซูร์บานิปาล

11.  พวก Cannanites  เป็นคำเรียกชนชาติในข้อใด

ก.  ชาวฟินิเชียน               ข.  ชาวฮิบรู
ค.  ชาวเปอร์เซีย               ง.  ชาวอาร์คาเดียน

12.  หลังจากถูกรุกรานโดยชาวยิวและชาวฟิลิสไตน์เมื่อประมาณ 1,300 - 1,000 BC.  ดินแดนของชาวอะนาอันไนต์จึงเหลือเพียง  "ฟีนิเซีย"  ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งแคบ ๆ ของทะเลอะไร

ก.  ทะเลเมดิเตอร์เลเนียน                ข.  ทะเลอีเจียน
ค.  ทะเลแดง                                    ง.  ทะเลอาหรับ

13.  ในปี 750 BC.  ชนชาติใดได้เข้ามายึดครองดินแดนของชาวฟีนิเชียนจนเกือบหมด  เหลือเพียงอาณานิคมที่เมืองคาร์เธจเท่านั้น

ก.  ชาวแอสซิเรียน                      ข.  ฮิบรู
ค.  ฟิลิสไตน์                                ง.  กรีก

14.  ข้อใดเป็นต้นตระกูลของอักษรที่ชาวยุโรปใช้อยู่ในปัจจุบัน

ก.  อักษรเฮียโรกลีฟิค                 ข.  อักษรคูนิฟอร์ม
ค.  อักษรฟีนิเชียน                       ง.  อักษรฮิบรู

15.  ชาวฮิบรูเป็นชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายเมื่อ 1,400 BC.  มี Moses เป็นผู้้นำสำคัญในการปลดแอกจากการเป็นทาสของชนชาติใด

ก.  สุเมอเรียน                           ข.  อียิปต์
ค.  ปาเลสไตน์                          ง.  เปอร์เซีย

16.  ข้อใดเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอิสราเอลเมื่อประมาณ 1,013 - 973 BC"

ก.  พระเจ้าเดวิด                        ข.  พระเจ้าโซโลมอน
ค.  พระเจ้าเนบูซัคเนสซา          ง.  พระเจ้าไซรัส

17.  อาณาจักรอิสราเอลถูกทำลายดดยชนชาติใด

ก.  ชาวอียิปต์                          ข.  ชาวเปอร์เซีย
ค.  ชาวปาเลสไตน์                  ง.  ชาวแอสซิเรียน

18.  เหตุการณ์ที่เรียกว่า  The Babylonian Captivity  เกี่ยวข้องกับชนชาติใด

ก.  ชาวอียิปต์                          ข.  ชาวฮิบรู
ค.  ชาวปาเลสไตน์                  ง.  ชาวแอสซิเรียน

19.  ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับศาสนายูดาย

ก.  นับถือเทพซูส                     ข.  นับถือพระยะโฮวา
ค.  นับถือพระมะหะหมัด           ง.  นับถือพระอัลเลาะห์

20.  ผู้สถาปนาอาณาจักรเปอร์เซียเมื่อปี  549 BC. คือใคร

ก.  พระเจ้าเดวิด                         ข.  พระเจ้าดาริอุส
ค.  พระเจ้าเนบูซุคเนสซา           ง.  พระเจ้าไซรัส

เฉลย

แบบฝึกหัดบทที่ 1

1.  ข้อใดไม่ถูกต้อง

ก.  มนุษย์สร้างงานศิลปะได้เพราะรู้จักคิด
ข.  สิ่งที่ทำให้มนุษย์เจริญกว่าสัตว์ คือ ปัญญาและความคิด
ค.  มนุษย์ไม่ต่างจากสัตว์ในแง่ของอารมณ์และความรู้สึกทางธรรมชาติ
ง.  มนุษย์สร้างอาวุธ เครื่องมือ ความเชื่อและความงามขึ้นเพื่อตอบสนองการดำเนินชีวิต

2.  การที่สังคมมีความซับซ้อนและมีความเจริญทางวัตถุเกิดจากปัจจัยสำคัญในข้อใด

ก.  ภาษา
ข.  ศาสนา
ค.  เครื่องมือ
ง.  สัญชาตญาณ

3.  ข้อใดถูกต้องที่สุดเมื่อกล่าวถึงการศึกษางานศิลปะสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในโลกตะวันตก

ก.  เทวรูปกรีก
ข.  จารึกในวิหารโรมัน
ค.  อักษรคูนิฟอร์ม
ง.  ภาพเขียนสีถ้ำลาสโคซ์

4.  คำว่ามนุษย์ผู้ถนัดในการใช้มือตรงกับข้อใดมากที่สุด

ก.  โฮโมฮาบิลิส
ข.  โฮโมเซเปียนส์
ค.  โฮโมอิเรคตัส
ง.   ออสตราโลพิเธคัส

5.  ข้อใดเป็นมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่่งในยุโรปซึ่งมทิ้งผลงานศิลปะไว้มากมายในถ้ำต่าง ๆ

ก.  นีแอนเดอธัล
ข.  โครมันยอง
ค.  โอลดูเวย์  จอร์จ
ง.   เบจิงแมนเอนสีส

6.  ข้อใด มิใช่ แหล่งโบราณคดีซึ่งพบหลักฐานภาพเขียนสีสมัยหินเก่าอายุประมาณ 30,000 - 25,000 BC. ในยุโรป

ก.  อัลตามีรา
ข.  ลาสโคซ์
ค.  โอลดูเวย์
ง.   ลา มาไดเลน

7.  ข้อใดเป็นศิลปะถ้ำซึ่งพบโดยบังเอิญจาการเล่นซุกซนของเด็กสองคนเมื่อ ค.ศ. 1940

ก.  อัลตามีรา
ข.  ลาสโคซ์
ค.  โอลดูเวย์
ง.   ลา มาไดเลน

8.  ภาพเขียนสีในถ้ำอะไรมักถูกยกเป็นตัวอย่างของจิตรกรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์เสมอ

ก. อัลตามีรา
ข.  ลาสโคซ์
ค.  โอลดูเวย์
ง.   ลา มาไดเลน

9.  ข้อใด ไม่ถูกต้อง

ก.  ประติมากรรมเทพธิดาแห่งการให้กำเนิดคาทาลคือยึด
ข.  วีนัสแห่งเลส์ปุคสลักจากงาช้างพบที่ถ้ำเลส์ปุคฝรั่งเศส
ค.  ประติมากรรมสลักหินรูปวีนัสแห่งวิลเลนเดร์ฟพบที่ออสเตรีย
ง.  งานประติมากรรมรูปคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มักมีขนาดใหญ่

10.  Menhir or Standing Stone เป็นอนุสาวรีย์หินแบบใด

ก.  โต๊ะหิน
ข.  หินตั้งเดี่ยว
ค.  หินตั้งเป็นวงกลม
ง.   หินตั้งเป็นแกนยาว

เฉลย

  1.  ค

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เทพในความเชื่อของชาวกรีก และ โรมัน

เทพเจ้ากรีก

ปรัชญาและความเชื่อ
จำนวนประชากรชาวกรีกแม้ว่าจะมีไม่มากนักถ้าเทียบกับอารยธรรมต่างๆ ในยุคเดียวกัน แต่ก็ประสบกับความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านปรัชญา วิทยาศาสตร์ และศิลปกรรมในแขนงต่างๆ อย่างดียิ่ง เป็นเพราะชาวกรีกยึดถือลัทธิเหตุผลนิยม (rationalism) อีกทั้งเป็นผู้มีความเชื่อในอุดมคติ (idealism) และหลักมนุษยธรรม (humanism)  ชาวกรีกโบราณนับถือธรรมชาติ เชื่อว่าพลังลึกลับที่สามารถให้คุณให้โทษได้เกิดขึ้นเพราะมีเทพเจ้าต่างๆ บันดาลให้เป็นไป ชาวกรีกนับถือเทพเจ้าหลายองค์ เทพเจ้าตามความเชื่อของชาวกรีกมีหน้าตาและมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกับ มนุษย์ แต่มีพลังอำนาจเหนือกว่า เทพเจ้าสูงสุดคือ ซีอุส” หรือ ซุส” (Zeus) เป็นเทพบิดรของบรรดาเทพทั้งหลาย สถิตอยู่บนยอดเขาโอลิมปัส(Olympus) มีชายาชื่อ เฮร่า” (Hera) เป็นเทพีแห่งสวรรค์และการแต่งงาน นอกจากนี้ยังมีเทพเจ้าอีกมากมาย ต่างภาระหน้าที่กันไป ศาสนาของกรีกได้รับการเสริมแต่งพรรณนาจนดูราวกับเทพนิยายจนมีชื่อเรียกว่า “ศาสนนิยาย” ครั้งต่อมาเมื่อกรีกตกอยู่ภายใต้การครอบครองของโรมัน ชาวโรมันก็ได้รับเอาความเชื่อนี้ไปใช้ แต่เปลี่ยนชื่อเทพเจ้าต่างๆ ให้เข้ากับภาษาและความเชื่อของตน นอกจากนี้ชาวกรีกยังนับถือนางไม้หรือเทพธิดา ที่สิงสถิตอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ในป่าเขาลำเนาไพร เทพธิดาของกรีกส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม ชาวกรีกจะสร้างวิหารไว้ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นที่สถิตของเทพเจ้า มีพิธีกรรมการเซ่นสรวงบูชา และสลักรูปจำลองของเทพเจ้าไว้สำหรับเคารพบูชาด้วย ส่วนทางด้านปรัชญานั้น ชาวกรีกเป็นผู้ให้กำเนิดวิชาปรัชญาแก่ชาวตะวันตก ซึ่งมีพื้นฐานสืบเนื่องมาจากเสรีภาพในความคิดและความอยากรู้อยากเห็นอันไม่ มีที่สิ้นสุดของชาวกรีกที่มีต่อธรรมชาติ ซึ่งวิชาการต่างๆ 
นักปรัชญากรีกได้วางรากฐานอย่างดีให้แก่นักวิชาการในสมัยปัจจุบันอย่างพร้อมมูล

เทพ 12 องค์บนยอดเขา Olympus


7. อพอลโล (Apollo) เทพเจ้าแห่งการทำนาย กีฬา การรักษาโรคภัย การดนตรี และ เป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ เป็นบุตรแห่ง ซีอุส และ เทพีลีโต้ (Letoมีน้องสาวฝาแฝดชื่อ อาร์ทามิส (Artemis) อะพอลโล่มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คือ ต้นลอเรล Laurelสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือนกกาเหว่าและห่าน เครื่องดนตรีประจำพระองค์คือพิณ วิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์อยู่ที่เดลฟี่ Delphi ซึ่งที่นั่นจะมีนักบวชคอยบอกคำทำนายของพระองค์ให้แก่ประชาชนที่มาสักการบูชา
11. อโฟรไดท์ (Aphrodite) เทพีแห่งความรักและความงาม เป็นบุตรีของ ซูส กับ เทพีไดโอนี่ (บางตำราว่าเกิดจากฟองคลื่น) สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเธอได้แก่นกกระจอก นกนางแอ่น ห่าน และเต่า ส่วนดอกไม้และผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระนางได้แก่กุหลาบ Myrtle และแอปเปิล กล่าวกันว่าพระนางเป็นเทพีผู้คุ้มครองเหล่าโสเภณีด้วย
ปัจจุบันได้จัดให้มีแค่ 12 องค์ เพราะ ตามตำราบางเล่มบอกไว้ว่าเทพรุ่นที่ มีแค่ 12 องค์




เทพเจ้าโรมัน
ตรงกันข้ามกับการบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับเทพต่างๆ โรมันจะมีตำนานมากมายที่เกี่ยวกับการก่อตั้งและความรุ่งเรืองของเมืองต่างๆ นอกไปจากเรื่องราวที่เล่าขานกันตามท้องถิ่น ก็มีการเพิ่มเติมตำนานวีรบุรุษของกรีกที่ปะติดปะต่อกับตำนานพื้นบ้านโรมันมาตั้งแต่สมัยแรก ตัวอย่างเช่อีเนียสของโรมันก็ถูกดึงไปเป็นสามีของลาวิเนียพระราชธิดาของกษัตริย์ลาตินัสผู้เป็นบรรพบุรุษของชนละติน ฉะนั้นจึงเป็นบรรพบุรุษของรอมิวลุส และรีมุส ฉะนั้นตำนานเกี่ยวกับโทรจันจึงกลายเป็นตำนานลึกลับเกี่ยวกับบรรบุรุษของชาวโรมัน ซึ่งเป็นสาเหตุให้ทหารม้าโรมันแต่งเครื่องแบบที่มาจากภาพวาดของโทรจัน กวีนิพนธ์ “เอนิอิด” (Aeneid) และ หนังสือสองสามเล่มแรกโดยนักประวัติศาสตร์โรมันลิวี” (Livy) เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดเกี่ยวกับปรำปราวิทยาของมนุษย์ดังกล่าว
ประเพณีปฏิบัติต่างๆ โดยนักบวชของทางการของโรมันก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สร้างความแตกต่างของเทพสองระดับ “di indigetes” และ “di novensides”/“novensiles” กลุ่ม “di indigetes” หมายถึงทวยเทพดั้งเดิมของโรมัน ชื่อและรายละเอียดของเทพกลุ่มนี้ระบุด้วยตำแหน่งของนักบวชรุ่นแรกที่สุดและโดยวันเทศกาลที่เฉพาะเจาะจงที่มีด้วยกัน 30 องค์ที่มีเทศกาลที่ระบุอย่างเฉพาะเจาะจง ส่วน “di novensides”/“novensiles” คือเทพรุ่นต่อมาที่เข้ามาตามเมืองต่างๆ ในภายหลัง และมักจะทราบเวลาที่เข้ามาตามความจำเป็นของสถานการณ์หรือวิกฤติการณ์ ทวยเทพดั้งเดิมนอกไปจาก “di indigetes” เป็นกลุ่มทวยเทพที่เรียกว่า “เทพเฉพาะกิจ” เช่นเทพแห่งการเก็บเกี่ยว เศษชิ้นส่วนจากประเพณีที่เกี่ยวข้องกับกิจการต่างๆ เช่นการไถหรือการหว่านทำให้เราทราบว่ากระบวนการทุุกขั้นตอนของกิจการของโรมันต่างก็มีเทพเฉพาะกิจต่างๆ กันไป ชื่อของเทพก็จะมาจากคำกิริยาของกิจการที่กระทำ เทพเหล่านี้ก็จะจัดเป็นกลุ่มภายใต้กลุ่มกว้างๆ หรือ กลุ่มเทพสนับสนุน (attendant หรือ auxiliary gods) ผู้ที่จะได้รับการกล่าวนามพร้อมกับเทพระดับสูง
เทพเฉพาะกิจและเทศกาลที่เกี่ยวข้องทำให้เราทราบว่าชาวโรมันสมัยแรกนอกจากจะเป็นกลุ่มชนที่เป็นสังคมเกษตรกรรม แต่ยังเป็นสังคมที่นิยมการต่อสู้ และ มักจะนิยมการทำสงคราม นอกจากจะมีเทพเฉพาะกิจในด้านการเกษตรแล้วชาวโรมันก็ยังมีเทพเฉพาะกิจในกิจการประจำวันที่ต้องทำการสักการะบูชาตามความเหมาะสมด้วย ฉะนั้นเทพแจนัส และ เทพีเวสตาก็จะเป็นผู้รักษาประตูและเตาผิง, เทพลารีสพิทักษ์ที่ดินและบ้าน, เทพพาลีสพิทักษ์ท้องทุ่ง, เทพแซทเทิร์นพิทักษ์การหว่าน, เทพีเซเรสพิทักษ์การเจริญเติบโตของธัญพืช, เทพีโพโมนาพิทักษ์ผลไม้ และ เทคอนซัสพิทักษ์ธัญญาหารและสถานที่เก็บรักษาธัญญาหาร และ เทพีอ็อพสพิทักษ์การเก็บเกี่ยวและเป็นเทพีแห่งการเจริญพันธุ์ แม้แต่เทพจูปิเตอร์ผู้เป็นประมุขของทวยเทพก็ยังทรงเป็นเทพที่ช่วยให้ฝนตกเพื่อช่วยในการเกษตรกรรม และคุณลักษณะทั่วไปของพระองค์จากการที่ทรงมีสายฟ้าเป็นอาวุธทำให้ทรงได้ชื่อว่าเป็นผู้อำนวยการของกิจการที่มนุษย์กระทำ และการที่ทรงมีอำนาจอันยิ่งใหญ่และกว้างขวางทำให้ทรงได้ชื่อว่าเป็นผู้พิทักษ์กิจการทางทหารของชาวโรมันที่นอกไปจากในบริเวณเขตแดนของตนเอง เทพเจ้าสำคัญในสมัยแรกก็ได้แก่เทพมาร์ส และ เทพควิรินัส ผู้มักจะเป็นเทพในกลุ่มเดียวกัน เทพมาร์สเป็นเทพเจ้าแห่งการสงครามที่ทำการฉลองกันในเดือนมีนาคมและตุลาคม ส่วนเทพควิรินัสเชื่อกันโดยนักวิชาการสมัยใหม่ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งประชาคมผู้ถืออาวุธในยามสันติ
ในกลุ่มเทพของสมัยแรกก็มีไตรเทพ (triad) ที่สำคัญคือ เทพจูปิเตอร์เทพมาร์ส และ เทพควิรินัส เทพในสมัยแรกมักจะไม่มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่สำคัญ และประวัติก็ไม่มีเรื่องราวของการสมรสหรือบรรพบุรุษ ซึ่งไม่เหมือนกับเทพเจ้ากรีกเพราะจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์เดินดิน ฉะนั้นจึงแทบจะไม่มีเรื่องราวของกิจการที่กระทำ


 เจนัส(Janus)เทพแห่งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เทพแห่งทวารทางเข้าออก สงคราม และสันติภาพ เป็นผู้อุปถัมภ์การกำเนิดของสิ่งต่างๆ ถึงแม้จะเป็นเทพที่สำคัญที่สุดองค์หนึ่งในบรรดาเทพทั้งปวงของโรมัน แต่ไม่เป็นที่รู้จักของกรีกเลย

นักเทวดาตำนานเห็นว่า เจนัส(Janus)เป็นโอรสของอพอลโล(Apollo) ถึงแม้จะถือกำเนิดในเทสซารี แต่ช่วงแรกๆ ของชีวิตทรงมาอยู่ในอิตาลี และทรงก่อตั้งเมืองในแม่น้ำไทเบอร์ขึ้น ซึ่งพระองค์ทรงตั้งนามเมืองว่า เจนิคิวลัม(Janiculum) ที่เมืองนี้ พระองค์ได้ร่วมกับเทพแซเทิร์น(Saturn)ผู้ถูกเนรเทศโดยร่วมบัลลังก์กัน ทั้งสองนี้ได้ร่วมกันทำให้ผูคนในอิตาลีที่ป่าเถื่อนนั้นมีอารยรธรรมขึ้น แล้วทรงอวยพรให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง จนกระทั่งยุคสมัยที่ท่านครองอยู่มีกเรียกว่า"ยุคทอง"

เจนัส(Janus)โดยทั่วไปแล้วจะปรากฏพระองค์มีสองพักตร์ หันไปในทิศทางตรงข้ามกัน เหตุด้วยพระองค์ทรงคุ้นเคยกับอดีตและอนาคตพอๆกับปัจจุบัน และเพราะถือว่าพระองค์เป็นเครื่องหมายแห่งตะวัน ที่เกิดทิวาวารเมื่อเริ่มรุ่งราง และปิดวันวารเมื่อยามโรยร่วง

บางรูปปั้นปรากฏพระองค์ด้วยพรพักตร์ที่มีเกศสและมัสสุขาว บางรูปปั้นก็ปรากฏในรูปที่เป็นชายหนุ่ม ขณะที่บางรูปปั้นสร้างให้ทรงมีสามเศียรหรือสี่เศียร 




จูปิเตอร์   คือปะมุขแห่งทวยเทพ สถิตอยู่ ณ ยอดเขาโอลิมปัส มีมเหสีคือจูโน อาวุธคู่กายคือสายฟ้า  พระองค์มีฤทธิ์เหนือเทพทั้งมวล กล่าวกันว่าต่อให้ผูกเชือกทองกับสวรรค์แล้วให้เทพทุกองค์ดึงจูปิเตอร์ลงมาก็ไม่อาจทำได้  ข้อเสียของจูปิเตอร์คือความเจ้าชู้  ซึ่งหลายครั้งกลายเป็นชนวนความวุ่นวายในตำนานเทพ
    ตามนิสัยของจูปิเตอร์  หากพอใจหญิงใด ก็จะทำทุกอย่างให้ได้นางมาครอง  วันหนึ่งขณะที่นางยูโรปากำลังเก็บดอกไม้อยู่ในทุ่ง  นางพบโคลักษณะงามและเชื่องตัวหนึ่งจึงขึ้นนั่งหลัง  ทันใดนั้นโคก็เผ่นหนีลงทะเลแล้วนำนางยูโรปามาไว้ที่เกาะครีตพร้อมแสดงตนว่าคือเทพจูปิเตอร์นั่นเอง




เทพผู้เป็นเจ้าแห่งการสงครามคือ มาร์ส (Mars) หรือ เอเรส (Ares) ซึ่งเป็นชู้รักของเทวีอโฟรไดที่ เธอเป็นบุตรองค์หนึ่งของเทพปริณายก ซูส กับเจ้าแม่ ฮีรา และเป็นที่เกลียดชังของเทพและมนุษย์ทั้งปวงเว้นแต่ชาวโรมัน ผู้มีนิสัยชอบการสงคราม
ชาวโรมันเทิดทูนสดุดีเทพองค์นี้ยิ่งนัก ถึงกับอุปโลกน์ให้เป็นเทพบิดาของ โรมิวลัส (Romulus) ผู้สร้างกรุงโรม และพรรณาสรรเสริญเกียรติคุณของเธอนานัปการ ตรงกันข้ามกับชาวกรีก ซึ่งนอกจากจะไม่นิยมเลื่อมใสเทพองค์นี้แล้ว ยังถือว่า เธอเป็นเทพที่มีสันดานป่าเถื่อนดุร้าย ปราศจากความเมตตากรุณาเสียอีก
ในมหากาพย์อิเลียด ซึ่งเป็นบทกวี เกี่ยวกับการ สงคราม แท้ ๆ เธอเป็นที่เกลียดชังตลอดเรื่อง นักกวีโฮเมอร์ถึงแก่ประณามเธอว่า "ยินดีในการประหัตประหาร มีมลทินด้วยเลือด เป็นอุบาทว์สำหรับมนุษย์ทั้งปวง" เมื่อสรุปตามสายตาของกรีกดังกล่าว โดยสำนวนปัจจุบัน เราจะเห็นว่า เอเรสคือ เทพอันธพาลของกรีก
เอเรสเป็นโอรสขององค์เทพซูสกับฮีร่าเทวี และทรงเป็นโอรสที่เทพบิดาซูส ตรัสใส่หน้าเลยว่า "เจ้าเป็นที่น่าชังที่ สุดในบรรดาลูกของข้า ทั้งโหดร้าย ดื้อด้านเหมือนแม่เจ้าไม่ผิด!" ซึ่งวาทะประโยคนี้นับว่าวิจารณ์อุปนิสัยใจคอของ เอเรสได้ตรงเป็นที่สุด นอกจากโหดร้ายและดื้อดึง เอเรสยังบุ่มบ่าม โกรธง่าย และนิยมความรุนแรงมาก นับว่าเป็นอุปนิสัยที่ แตกต่างกับเจ้าแม่เอเธน่า มากซึ่งเป็นเทวีแห่งสงครามเหมือนกัน เอเธน่านั้นสุขุม เฉลียวฉลาดและกล้าหาญ จึงได้รับการ ยกย่องทั่วทุกหนแห่ง เป็นเหตุให้เอเรสเกิดจิตริษยาเอามาก เป็นดั่งว่า "ฟ้าให้เอเรสเกิดแล้วไฉนให้เอเธน่ามาเกิดอีกเล่า" เวลาพบกันทีไรจึงมักมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ




อ้างอิงจาก  

http://th.wikipedia.org/wiki

https://sites.google.com/site/5102667rsu/arc213/final_

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Modernism & Postmodernism

สมัยใหม่และแนวคิดหลังสมัยใหม่

เพื่อปัญญาชนสิ้นหวังของศิลปินและ , และสูงเสริมสร้างโลกทัศน์ในเชิงบวกผ่านสมัยใหม่ได้กลายเป็นความเสียหายและการกดขี่ เต็มไปด้วยข้อสงสัยเกี่ยวกับการมีชีวิตอย่างต่อเนื่องของความคืบหน้าของความคิด, ความคิดสมัยใหม่ใบหน้าของได้เริ่มแตกและกองกำลังอนุรักษ์นิยมที่มีมานานแล้วตรงข้ามกับความคิดสมัยใหม่ได้รีบ, ลิ่มเหมือนเป็น interstices เพื่อเติมเต็มและขยายพื้นที่ของพวกเขาด้วย โลกทัศน์ของตัวเอง
ในความคิดสมัยใหม่ United States,, ในรูปแบบที่ระบุว่าเป็น"ความเห็นอกเห็นใจฆราวาส,'ได้รับการโจมตีโดย'สิทธิทางศาสนา'ที่เรียกว่าอุดมการณ์ที่ได้ทำลายรากฐานรัฐธรรมนูญอย่างจริงจังมากของการทดลองสมัยใหม่ทั้งอเมริกันอนุรักษ์นิยม การนับถือหลักเดิมในเกือบทุกศาสนาของโลกจัดใหญ่ -- คริสต์ศาสนา, ศาสนายิว, อิสลาม, ฮินดู -- ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีในการต่อต้านโดยตรงกับความคิดสมัยใหม่
ส่วนพื้นฐานคริสเตียนจำนวนมากยังคงเห็นด้วยกับการปฏิรูปมาร์ตินลูเธอร์โปรเตสแตนต์ผู้ศรัทธา'เหตุผลที่เป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีความเชื่อ : ก็ไม่เคยมาถึงสิ่งที่จิตวิญญาณของความช่วยเหลือ แต่ -- บ่อยกว่าไม่ -- การต่อสู้กับ Divine Word, การรักษาด้วยดูถูก ทั้งหมดที่ emanates จากพระเจ้า.' Colloquia Mensalia 'On ศีลล้างบาป,'วรรค CCCLIII)
การเคลื่อนที่สมัยใหม่ของคริสตจักรสถาบันพระมหากษัตริย์และชนชั้นสูงจากตำแหน่งของอำนาจและสิทธิพิเศษยังคงเป็น resented ลึกในหมู่นักอนุรักษ์นิยม แต่สถาบันเหล่านี้และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตจักรสานต่อต้านทานความต้องการของความคิดสมัยใหม่ในขณะที่ผู้สนับสนุนหาวิธีที่จะ reestablish บทบาทและสถานะเดิมในสังคม
คริสตจักรคาทอลิกได้ยืนอยู่นานในการต่อต้านกับความคิดสมัยใหม่ มีอยู่แล้วใน 1846, Pope Pius IX มีการลงโทษข้อเสนอสมัยใหม่ว่าเป็นโองการของพระเจ้าที่ไม่สมบูรณ์และดังนั้นจึงอาจมีการและไม่มีกำหนดความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องที่สอดคล้องกันด้วยเหตุผลความคืบหน้าของมนุษย์'( หลักสูตร , prop. 5) และในสำหรับการเผยแพร่ pluribus Qui ออกในเดือนพฤศจิกายนในปีเดียวกัน wrote'ศัตรูเหล่านี้เปิดเผยถึงความคืบหน้าของพระเจ้าของมนุษย์ยอไปฟากฟ้าและมีผื่นและกล้าหาญซึ่งล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมีมันนำเข้าศาสนาคาทอลิก.'
ห้าสิบปีต่อมาในสำหรับการเผยแพร่ Pascendi Dominici Gregis ,'on, หลักคำสอนของสมัยใหม่'ที่ออกใน 1907, Pope Pius X ถูกลงโทษเป็นนอกคอกงานเขียนของนักคิดสมัยใหม่และครูที่พยายาม'ปฏิรูป'และ'ทันสมัย'คริสตจักร และความพยายามในการค้นหาอื่น ๆ ที่ถูกลงโทษทางกระทบอนุรักษ์นิยมอำนาจของคริสตจักรในมือเดียวกับเสรีภาพของผู้ศรัทธาใน จะปฏิเสธความเชื่อสมัยใหม่ที่เรื่องของความเชื่อดังกล่าว, บูชา, หนังสือสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของความเชื่อแม้แต่ตัวเองและคริสตจักรโดยรวมได้รับอาจมีการวิวัฒนาการและการที่คริสตจักรในตอนนี้ควรปรับตัวเองไปยังสภาวะทางประวัติศาสตร์และสอดคล้องกับที่มีอยู่ในตัวเอง รูปแบบของสังคม
สำหรับ Pius X, สมัยใหม่คือ'การสังเคราะห์ heresies ทั้งหมด'และ constituted ระบบที่ถูกคุกคามที่จะทำลายศาสนาไม่เพียง แต่ศาสนาคาทอลิกทั้งหมด :'สมัยใหม่นำไปสู่​​ความเชื่อว่าไม่มีพระเจ้าและเพื่อทำลายล้างของศาสนาทั้งหมด ข้อผิดพลาดของลัทธิโปรเตสแตนต์ทำขั้นตอนแรกในเส้นทางนี้ของสมัยใหม่ที่ทำให้สอง. ความเชื่อว่าไม่มีพระเจ้าทำให้ต่อไป'




Descent ของ Modernists
(จาก EJ Pace, คริสเตียนการ์ตูน , 1922)

มีข้อบ่งชี้ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาปัจจุบัน Benedict XVI, อยากจะกลับไปยังคริสตจักรคาทอลิกยุคก่อนทันสมัย​​ทุก เช่นเดียวกับศาสนายิวศาสนาอิสลามและศาสนาฮินดูในของพวกเขาอนุรักษ์นิยมในรูปแบบ'พื้นฐาน'จะเหมือนกัน unsupportive ของแนวความคิดของ'เสรีภาพ'หรือ'ความเท่าเทียมกันในสังคมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือความรู้สึกทางการเมืองและเลือกปฏิบัติงานบนพื้นฐานของคลาส เพศเชื้อชาติและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
บ่อยครั้งภายใต้อิทธิพลของศาสนากองกำลังอนุรักษ์นิยมในรัฐบาลแห่งชาติทั่วโลกได้ทำลายและเสียหายอุดมคติของสมัยใหม่เปลี่ยนความคิดเรื่องเสรีภาพความเสมอภาคสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยเป็นข้อแก้ตัวที่ให้บริการด้วยตนเองสำหรับการบุกรุก, การปราบปรามการแปลงและการแสวงประโยชน์ .
เพื่อความกลัวของปัญญาชนก้าวหน้า, อุดมการณ์ของสมัยใหม่ได้นอกจากนี้ยังเป็นวิธีการที่ค่านิยมและโลกทัศน์ของตะวันตกได้รับการส่งเสริมการลงทุนและกําหนดทั่วโลกทั้งผ่านการล่าอาณานิคมของลัทธิล่าอาณานิคมและโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจหรือผ่าน'conditionalities'ติดกับเงินให้สินเชื่อ ที่ได้รับจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและนโยบายการแสดงความสนใจเวสเทิร์ที่ถูกบังคับในประเทศที่กำลังพัฒนาโดย World Bank
ด้วยความขยันขันแข็ง proselytizing วัฒนธรรมท้องถิ่นประเพณีเศรษฐกิจและวิถีชีวิตในประเทศโลกที่สามและประเทศกำลังพัฒนาได้รับการกวาดกันในชื่อของ'ทันสมัย​​'ประโยชน์ที่ได้รับการวัดหลักในด้านตะวันตก สมัยใหม่ได้รับการส่งออกมีประสิทธิภาพมากที่สุดและมีอิทธิพลตะวันตกและในความเป็นจริงได้รับการกอดอย่างเต็มใจโดยวัฒนธรรมตะวันตกที่ไม่มากด้วยเหตุผลทางการค้าทางเศรษฐกิจหรือทางการเมืองหรือเป็นสาธิตการสนับสนุนของอุดมคติตะวันตก
มันนอกจากนี้ยังนำขึ้นโดยผู้ที่ต้องการใช้อุดมการณ์ของความคิดสมัยใหม่ที่จะท้าทายรสนิยมของชนพื้นเมืองและโครงสร้าง - อำนาจ แต่ทั้งหมดจะ complicit ในที่สุดจึงในวาระสมัยใหม่ของตะวันตกที่พยายามสร้างความคิดสมัยใหม่เป็นธรรมดาสากลที่ทุกคนควร Aspire ความเชื่อยาวจัดขึ้นที่ยอมรับของหลักการและกระบวนการของความคิดสมัยใหม่มักจะช่วยเพิ่มสภาพมนุษย์ แต่ได้กลายเป็นเรื่องยากที่จะรักษาเพิ่มมากขึ้นในทุกกรณี
ตอนนี้หลายคนเชื่อว่าระยะเวลาที่กำหนดโดยหลักคำสอนสมัย​​ใหม่ได้มาถึงจุดจบและว่าเรากำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านในช่วงใหม่ที่เรียกว่าการขาดของแนวคิดหลังสมัยใหม่ที่ดีกว่าคำ
แนวคิดหลังสมัยใหม่ที่มีการใช้คำทำให้เกิดความสับสนในหลากหลายวิธี สำหรับบางคนจะหมายถึงการป้องกันที่ทันสมัย​​ในขณะที่คนอื่น ๆ จะหมายถึงการปรับปรุงอาคารสมัยใหม่ ท่าทางดูเหมือนทันสมัย​​เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการปฏิเสธพื้นฐานของความเชื่อของสมัยใหม่เช่นความเชื่อในอำนาจสูงสุดของเหตุผลความคิดของความจริงและเป็นความคิดที่ว่ามันเป็นไปได้ผ่านการประยุกต์ใช้เหตุผลและความจริงเพื่อสร้างสังคมที่ดีกว่า
ขณะที่เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวิธีการและเป้าหมายของสมัยใหม่มีเกิดขึ้นในแนวทางปรัชญาการตอบสนองต่างๆที่นำเสนอเครื่องมือที่มีประโยชน์และทันเวลาของการวิเคราะห์ที่สำคัญที่รู้จักกันดีที่สุดของที่เรียกว่า Deconstruction
นำไปใช้กับคำถามของสมัยใหม่, deconstruction ตรวจสอบสมมติฐานที่รักษาโลกทัศน์สมัยใหม่ผ่านสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าโลกทัศน์ Anti - สมัยใหม่ มัน deconstructs'ความเชื่อและค่านิยมของสมัยใหม่โดยการแตกหรือ'แตก'โลกทัศน์สมัยใหม่เพื่อที่จะเปิดเผยส่วนที่ตกเป็นของ
และเปิดภายใต้การวิเคราะห์ความคิดสมัยใหม่พื้นฐานเช่น'เสรีภาพ'และ'ความเสมอภาค'จะถูกแสดงให้เป็นไม่'จริง'หรือ'ธรรมชาติ'to ธรรมชาติของมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงอุดมคติทางปัญญาที่มีพื้นฐานในความเป็นจริงของไม่มี สภาพมนุษย์
แล้วคำถามจะถูกยกขึ้นเกี่ยวกับผู้สร้างอุดมคติทางปัญญาเหล่านี้และสิ่งที่มีแรงจูงใจของพวกเขา สมัยใหม่ไม่ตอบสนองใคร? เมื่อพิจารณาในบริบทของโลกก็ควรมีความชัดเจนจากประวัติศาสตร์ที่ระบุเป็นบทความนี้ที่ทันสมัย​​ทำหน้าที่แรงบันดาลใจทางสังคมและการเมืองตะวันตก
แม้ว่านักคิด deconstructionist, สอดคล้องกับปรัชญาของตัวเองให้เลิกเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการ presumptions ของสมัยใหม่จากการเสนอทางเลือกในการแก้ไขเพื่อล้มเหลวสมัยใหม่ของ, วิจารณ์ deconstruction ของสมัยใหม่ได้เสนอให้ที่ได้รับการว่าจ้างโดยบางที่จะอธิบายคุณลักษณะของแนวคิดหลังสมัยใหม่
ขณะที่การเคลื่อนไหวต่อต้านสมัย​​ใหม่จึงถูกมองว่าเป็นแนวคิดหลังสมัยใหม่ที่ปฏิเสธองค์ประกอบเหล่านั้นที่ประกอบด้วยโลกทัศน์สมัยใหม่รวมทั้งความคิดของความจริงด้วยตนเองความหมายและวัตถุประสงค์ ในการนี​​้ deconstructive แนวคิดหลังสมัยใหม่จะมองเห็นด้วยเป็นบางส่วนซึ่งเป็นไปในเชิงทำลาย
ตรงกันข้ามกับตำแหน่งป้องกันที่ทันสมัย​​, ความเข้าใจทางเลือกพยายามแก้ไขสถานที่สมัยใหม่และแนวความคิดแบบดั้งเดิมซึ่งได้กลายเป็น institutionalized, ทุจริตและยึดที่มั่น
ในการสนับสนุนของค่านิยมหลักของความคิดสมัยใหม่ -- เสรีภาพความเสมอภาคสิทธิการแสวงหาความสุข -- จุดมุ่งหมายคือการท้าทายตรรกะของรัฐสมัยใหม่กดขี่และทำลายความชอบธรรมของแลกเปลี่ยนกองกำลังอนุรักษ์นิยม บางครั้งเรียกว่าแนวคิดหลังสมัยใหม่ที่สร้างสรรค์ก็มุ่งที่จะให้ความสามัคคีใหม่ของ intuitions วิทยาศาสตร์, จริยธรรม, ความงามและศาสนา
มันปฏิเสธไม่วิทยาศาสตร์และศาสนาดังกล่าว แต่เพียงผู้วิธีการทางวิทยาศาสตร์และการปฏิบัติทางศาสนาซึ่งข้อมูลที่กำหนดเท่านั้นและความเชื่อได้รับอนุญาตให้นำไปสู่​​การสร้างโลกทัศน์ของเรา
สร้างสรรค์แนวคิดหลังสมัยใหม่พยายามกู้ความจริงและค่าจากรูปแบบต่างๆของความคิดก่อนที่ทันสมัย​​และการปฏิบัติ นี้มีความจำเป็นเพราะการแสวงหาของสมัยใหม่โดยเฉพาะในอาการของมันเป็นอิสระของคนมั่งมีและ consumerist จะไม่ยั่งยืนและอาจกระทบอยู่รอดของชีวิตมนุษย์บนโลก
ลักษณะของแนวคิดหลังสมัยใหม่ที่สร้างสรรค์จะปรากฏคล้ายกับสิ่งที่เรียกว่ายังคิด'New Age' ความเป็นไปได้ว่ามนุษย์สามารถยืนอยู่บนเกณฑ์ของยุคใหม่ -- อายุของกุมภ์ซึ่งปัจจุบันการแทนที่อายุ 2,000 ปีของราศีมีน (ตามการคำนวณบนพื้นฐานของการ precession ของ Equinoxes) -- แจ้งเพิ่มเติม' ด้านจิตวิญญาณของความคิด postmodernist
หลังสมัยใหม่คือจงใจเข้าใจยากเป็นแนวคิดเนื่องจากในส่วนของความเต็มใจที่จะยอมรับในทางตรงกันข้ามกับความคิดสมัยใหม่ความไม่แน่นอนและความคลุมเครือ ในขณะที่สมัยใหม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับเหตุผลและข้อสรุปเชิงตรรกะ'กระบวนการ'ประการตามแนวคิดหลังสมัยใหม่และ'เป็น'พอใจการเปิดกว้างโปร่งใสและไม่มีเขต จำกัด
ศิลปินโพสต์โมเดิร์นคือ'ซึ่งนำมาสู่'ในที่เขาหรือเธอจะทราบตนเองและเกี่ยวข้องกับการมีสติในขั้นตอนการคิดหรือกระบวนการทางวัฒนธรรมของเธอเองในประวัติศาสตร์ใน demasking ตนว่าเป็นของตนเองและส่งเสริมการความละอายใจของเขา .
แต่ในช่วงเวลานี้ของการเปลี่ยนแปลงเมื่อทะเลเปลี่ยนแปลงมากและไม่อาจคาดการณ์ - ดูเหมือนจะเกิดขึ้นในวัฒนธรรมทั่วโลกเป็นไปไม่ได้ที่จะทำนายอนาคต ไม่มีทางรู้ว่าแนวคิดหลังสมัยใหม่จะถือว่าพวกทำลาย, เกี่ยวกับอนาธิปไตยอาจรวมถึงรูปแบบการต่อต้านการสมัยใหม่หรือกลายเป็นตัวแปรที่พึงประสงค์ของความคิดสมัยใหม่ที่มีความตระหนักและจิตวิญญาณที่ทำเป็นประหม่าและความไวต่อเงื่อนไขทางวัฒนธรรมชาติพันธุ์และมนุษย์และไม่มีประสบการณ์ มันอาจจะไม่
ในความคิดของฉันเวลาได้มาบางทีที่ผ่านมาเพื่อประกอบอีกครึ่งหนึ่งของมนุษย์, หญิงของโลก ข้อบกพร่องเรื่องน่าเศร้าใจมากที่สุดคิดสมัยใหม่คือว่ามันเป็นส่วนใหญ่การก่อสร้างเพศชายหลักคำสอนทางปัญญากำหนดและยั่งยืนโดยคนเจตนาดี แม้จะมีสัญญาของเสรีภาพและความเสมอภาคของความล้มเหลวที่จ้องมองมากที่สุดคือการอยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างต่อเนื่องของผู้หญิงในโลกวันนี้ ระยะการปฏิเสธและถูกทอดทิ้งโดยระบบโบราณที่เก่าแก่และภาระ, คือตอนนี้เวลาสำหรับโลกปรับตัวให้เข้าและได้รับคำแนะนำโดยผู้หญิง

อ้างอิงจาก 







วิถีชีวิตของคนไทยที่ได้รับมาจากอารยธรรมตะวันตก



     เช่น ราษฎรไทยได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสและไพร่ มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพ ได้รับการรักษาโรคด้วยวิชาการแพทย์แผนใหม่ สามัญชนมีโอกาสได้เล่าเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เข้าทำงานในกระทรวงต่าง ๆ อ่านหนังสือพิมพ์ ใช้รถไฟรถยนต์ ไปรษณีย์โทรเลข โทรศัพท์ ไฟฟ้า น้ำประปา มีถนนหนทางใหม่ ๆ เพื่อใช้เดินทาง ทำให้ชีวิตของคนไทยสะดวกสบายมากขึ้น
นอกจากนี้ ชาวไทยทั้งหญิงและชายเริ่มแต่งกายให้เป็นแบบสากลนิยม รับประทานกาแฟนม ขนมปัง เป็นอาหารเช้าแทนข้าว ใช้ช้อนส้อม นั่งโต๊ะเก้าอี้ มีโอกาสเดินทางไปศึกษาที่ต่างประเทศ รู้จักเล่นกีฬาแบบตะวันตก สร้างพระราชวัง สร้างบ้านแบบตะวันตก นิยมมีบ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัด เริ่มมีคำนำหน้าชื่อบุรุษ สตรี เด็ก เป็นนาย นางสาวนาง เด็กชาย เด็กหญิง ตามลำดับ มีนามสกุลเป็นของตัวเอง ผู้หญิงเริ่มไว้ผมยาวและนุ่งผ้าซิ่น มีการใช้ธงไตรรงค์เป็นธงประจำชาติไทย เป็นต้น
  อ้างอิง